เทพเจ้าแห่งการขอฝน



คางคก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บันดาลน้ำฝน

        สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์เป็นเขตมรสุมต้องพึ่งพาธรรมชาติ ได้น้ำฝนจากฟ้ามาทำนา เรียก นาทางฟ้าจึงมีน้ำไม่สม่ำเสมอ ไม่แน่นอน บางปีน้ำมาก บางปีน้ำน้อย ในโองการแช่งน้ำมีโคลงวรรคหนึ่งว่า น้ำแล้งไข้ ขอดหายสลับกันไปกับน้ำท่วม ทำให้คนต้องมีพิธีกรรมขอฝนด้วยวิธีวิงวอน, ร้องขอ จนถึงบงการ เช่น นิทานเรื่องพญาคันคาก (คางคก) คนลาวเรียกคันคาก คนไทยเรียกคางคก เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทเดียวกับ กบ, เขียด,และอึ่งอ่าง ที่คนดั้งเดิมเริ่มแรกยุคดึกดำบรรพ์(หรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์) เคารพยกย่องเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของน้ำและฝน เพราะสัตว์พวกนี้มักปรากฏตัวและส่งเสียงดังเมื่อฝนตกลงมาเป็นน้ำนองทั่วไป ความเชื่อว่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างกบ-คันคาก-คางคก เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีมาไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว พยานหลักฐานมีอย่างน้อย 2 อย่าง คือ
          1.  กบสัมฤทธิ์ ประดับอยู่หน้ากลองทอง หรือกลองสัมฤทธิ์ ที่เรียกกันภายหลังว่ามโหระทึก ใช้ตีขอฝน ฯลฯ
        2.  คนทำท่ากบ เป็นภาพเขียนสีบนหน้าผา ในถ้ำ และสถานที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ วาดรูปคนแต่กางแขน-ขาทำท่าเหมือนกบ ลายสัก หรือสักหมึก ตามร่างกาย แขนขาของผู้คนชนเผ่าในอุษาคเนย์ยุคแรกเริ่มทำลวดลายเหมือนผิวหนังกบจริงๆ


        เหตุที่คนแต่ก่อนทำท่ากบ คางคก เพราะเชื่อว่ากบเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์สื่อสารกับอำนาจอย่างหนึ่งได้ ทำให้มีน้ำฝนหล่นจากฟ้ามาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารความอุดมสมบูรณ์ ให้กำเนิดความมีชีวิตทั้งสัตว์, พืช, และคน จึงพากันเรียกอวัยวะเพศหญิงว่า กบ คางคก  มาแต่ดึกดำบรรพ์ เพราะรูปร่างคล้ายกัน และเป็นที่ให้กำเนิดคน(เพิ่งเปลี่ยนเรียกด้วยคำบาลีอย่างทุกวันนี้เมื่อรับศาสนาจากชมพูทวีปแล้ว)แต่ฝนก็ไม่ได้ตกลงมาทุกคราวตามต้องการ เพราะยังมีฤดูที่ฝนไม่ตก ทำให้แห้งแล้ง คนเลยต้องบูชา กบ คางคก เพื่อวิงวอนร้องขอให้กบ คางคก ช่วยบอกผู้มีอำนาจบนฟ้าปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนตก จึงมีพิธีกรรมการละเล่นเต้นฟ้อนทำท่ากบบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นผาลาย (มณฑลกวางสี) ประเทศจีน
ผาแต้ม (อุบลราชธานี)เขาจันทน์งาม (นครราชสีมา) เขาปลาร้า(อุทัยธานี)ฯลฯ 

       แต่การวิงวอนร้องขอต่ออำนาจเหนือธรรมชาติผ่านพิธีบูชากบไม่สำเร็จเสมอไป เพราะมนุษย์ควบคุมธรรมชาติไม่ได้ ฉะนั้นหลายครั้งฝนก็ไม่ตกตามที่คนต้องการ เลยจินตนาการว่าผู้มีอำนาจบนฟ้ากำลังประพฤติมิชอบ ต้องกำราบปราบปรามให้อยู่ในความควบคุมแล้วปล่อยน้ำฝนหล่นมาตามต้องการเมื่อถึงเวลาฤดูกาลทำไร่ทำนา ทำให้คนสร้างเรื่องขึ้นจากจินตนาการแล้วบอกเล่ากันปากต่อปากสืบมาเป็นนิทาน เช่น พญาคันคาก หรือคางคกยกรบขอฝนจากแถนบนฟ้า แต่ลงท้ายก็ล้มเหลวหมด คือเอาชนะธรรมชาติจริงๆไม่ได้ ในนิทานเรื่องนี้มีนาค แปลว่า เปลือย, คนเปลือย เป็นคำที่ชาวชมพูทวีป(อินเดียโบราณ)ใช้เรียกคนพื้นเมืองในอุษาคเนย์อย่างดูถูกเหยียดหยาม ต่อมาหมายถึงงู(และเงือก, เงี้ยว, งึม) เป็นสัตว์มีพิษ และมีอำนาจควบคุมน้ำอยู่บาดาล(ใต้ดิน)บริเวณสองฝั่งโขงยุคดึกดำบรรพ์เชื่อว่าหนองน้ำคือถิ่นที่อยู่ของนาค และน้ำผุด, น้ำพุ, น้ำซึม, น้ำซับ, น้ำซำ(ต้นเค้าคำว่าสยาม) คือรูนาค ที่เป็นเส้นทางไปมาของนาค จอมปลวกก็คือรูนาคอย่างหนึ่ง เพราะมีตาน้ำอยู่ข้างในแต่เรื่องพญาคันคากกำหนดให้น้ำอยู่บนฟ้า มีพญาแถนรักษาไว้ น้ำบนฟ้าจะตกลงมาเป็นน้ำฝนให้มนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อนาคจากบาดาลขึ้นไปเล่นน้ำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ไปกระทบโขดหินขุนเขาบนสวรรค์ คือหมู่เมฆนั่นเอง น้ำบนฟ้าจึงจะแตกกระจายกลายเป็นฝนหล่นลงมาสู่โลก ถ้านาคไม่ขึ้นไปเล่นน้ำก็ไม่มีฝนโครงเรื่องอย่างนี้สะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อของมนุษย์ยุคโลหะเมื่อราว 3,000 ปีมาแล้ว ที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างดินกับฟ้า ว่าต้องอ้างอิงเกี่ยวข้องกัน ฉะนั้นคนกับธรรมชาติตัดขาดจากกันไม่ได้ ถ้าส่อเสียดเบียดเบียนธรรมชาติ มนุษย์ย่อมต้องเดือดร้อนหย่อนเย็นไม่เป็นสุขสืบมาจนบัดนี้กบบนหน้ากลองมโหระทึก ราว 4,000 ปีมาแล้ว พบที่ ต. ท่าเรือ อ. เมือง จ. นครศรีธรรมราช และพบที่อื่นๆทั่วไปด้วย


        คนทำท่ากบในพิธีกรรมบูชากบเพื่อขอฝน ราว 3,000 ปีมาแล้ว คัดลอกเป็นลายเส้นจากภาพเขียนสีที่ผาลาย มณฑลกวางสีในจีน  คนกางแขนถ่างขาทำท่าคล้ายกบ บนหัวมีขนนกประดับ นุ่งผ้าปล่อยชายยาวออกไป 2 ข้าง คล้ายรูปคนบนมโหระทึกและเครื่องมือสัมฤทธิ์พบที่เวียดนาม ราว 3,000 ปีมาแล้ว ภาพเขียนที่ถ้ำ(เขา)ผาแดง บ้านโป่งหวาย ด่านแม่แฉลบ  อ. ศรีสวัสดิ์ จ. กาญจนบุรี

บทความ สุจิตต์ วงษ์เทศ



                  



แสดงความคิดเห็น

Post a Comment (0)

ใหม่กว่า เก่ากว่า